Select Page

โพรไบโอติกกับอาการท้องผูก: สิ่งที่ควรรู้ก่อนลองใช้

Probiotics

อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่น่ารำคาญและทำให้ไม่สบายตัว หลายคนพยายามหาวิธีธรรมชาติในการแก้ไข ซึ่งโพรไบโอติกก็มักถูกพูดถึงบ่อย ๆ แต่โพรไบโอติกช่วยได้จริงหรือ? มาดูกันให้ชัดว่าโพรไบโอติกเกี่ยวข้องกับอาการท้องผูกอย่างไร และมีอะไรอีกบ้างที่เราควรลองทำเพื่อช่วยระบบขับถ่ายของเรา

วิดีโอแนะนำ

Credit: Probiotics for Constipation? Maybe Not

วิธีการเปิด ซับไตเติล กดเล่นวิดีโอ หมุนโทรศัพท์ให้อยู่ในแนวนอน มองหา CC แล้วเลือก ภาษาไทย

ท้องผูกคืออะไรแน่ ๆ ?

อาการท้องผูกคือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้ตามปกติ ส่วนมากจะหมายถึงการถ่ายน้อยกว่าสามครั้งต่อสัปดาห์ แต่จริง ๆ แล้ว ร่างกายของเราจะทำงานได้ดีเมื่อเราถ่ายทุกวัน หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้

เมื่อของเสียค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป จะทำให้อุจจาระแข็ง แห้ง และทำให้รู้สึกปวดหรือถ่ายยาก บางคนอาจรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด ถ้าคุณไม่ถ่ายหลายวัน แสดงว่าร่างกายอาจกำลังส่งสัญญาณว่ามีอะไรผิดปกติ

โพรไบโอติกดีเสมอสำหรับการย่อยอาหารหรือเปล่า?

โพรไบโอติกคือแบคทีเรียดีที่มีชีวิต ซึ่งช่วยเรื่องสุขภาพของลำไส้ หลายคนใช้มันเวลาเป็นท้องเสีย แต่ถ้าพูดถึงท้องผูก เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

โพรไบโอติกบางสายพันธุ์อาจช่วยได้จริง แต่บางสายพันธุ์อาจทำให้ท้องผูกยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงสำคัญมากที่เราต้องรู้ว่าจะเลือกใช้สายพันธุ์ไหนดี

สายพันธุ์ไหนที่อาจช่วยได้?

ไม่ใช่โพรไบโอติกทุกตัวจะช่วยได้ ถ้าคุณกำลังมีปัญหาท้องผูก ให้เน้นที่สายพันธุ์ Lactobacillus และ Bifidobacteria

สองสายพันธุ์นี้ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ งานวิจัยบางชิ้นพบว่าการใช้สองตัวนี้อาจช่วยให้ถ่ายได้บ่อยขึ้น

แต่อย่าคาดหวังผลเร็วเกินไป เพราะบางคนต้องใช้เวลาสักระยะ กว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน

สารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ลำไส้แข็งแรง

โพรไบโอติกเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ระบบขับถ่ายยังต้องการสารอาหารที่จำเป็นอย่าง โพแทสเซียม, แมกนีเซียม และ วิตามิน B1

สารเหล่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อลำไส้เคลื่อนไหวได้ดี ถ้าร่างกายขาด อาจทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง

ลองดูวิธีเพิ่มสารเหล่านี้:

  • กินผักใบเขียว เช่น ผักโขม หรือคะน้า
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน
  • ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ที่มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม
  • เสริมวิตามิน B1 หากได้รับคำแนะนำจากแพทย์

อย่าลืมว่าถ้าได้รับมากเกินไป โดยเฉพาะแมกนีเซียม อาจทำให้ท้องเสียได้

น้ำดีและบทบาทที่น่าประหลาดใจ

ตับของเราผลิตน้ำดีเพื่อช่วยย่อยไขมัน น้ำดีมีส่วนที่เรียกว่า “เกลือน้ำดี” ซึ่งสามารถช่วยหล่อลื่นลำไส้ ทำให้ถ่ายได้ง่ายขึ้น

ถ้าคุณยังรู้สึกว่าถ่ายยาก ลองใช้เกลือน้ำดีบริสุทธิ์ดูได้ แต่ต้องระวัง เพราะถ้าใช้มากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย ควรเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ แล้วสังเกตผล

ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น?

ถ้าคุณลองโพรไบโอติก ดื่มน้ำ กินผัก และเสริมสารอาหารแล้ว แต่ยังท้องผูกอยู่ ลองใช้ ยาถ่ายสมุนไพร เป็นทางเลือกสุดท้าย

แต่อย่าใช้บ่อย ใช้แค่ระยะสั้นก็พอ เพราะการปล่อยให้ท้องผูกนาน ๆ อาจทำให้ของเสียดูดกลับเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน

บางครั้งการถ่ายให้ได้สำคัญกว่าการฝืนไม่ใช้ตัวช่วยเลย

สรุปคำแนะนำง่าย ๆ

ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายของคุณดีขึ้น:

  1. เลือกใช้โพรไบโอติกสายพันธุ์ Lactobacillus และ Bifidobacteria
  2. ดื่มน้ำให้มากพอ
  3. กินผักใบเขียว หรือใช้เครื่องดื่มเกลือแร่
  4. เสริมเกลือน้ำดีหรือวิตามิน B1 ถ้าจำเป็น
  5. ถ้ายังไม่ดีขึ้น ใช้ยาถ่ายสมุนไพรชั่วคราว

ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าท้อใจ การเปลี่ยนนิสัยเล็ก ๆ อาจช่วยให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นในระยะยาว

ถ้าคุณลองวิธีใดแล้วได้ผล อย่าลืมจดไว้ จะได้รู้ว่าอะไรเหมาะกับร่างกายของคุณที่สุด